ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 58 (ดองไว้ซะนาน) ผมไปญี่ปุ่น 8 วันแต่โชคร้ายอากาศไม่ดีนักฝนตกทุกวัน ก็เลยต้องเปลี่ยนแผนมาเน้นช๊อปปิ้งซะเยอะ แต่ในโชคร้ายยังมีโชคดี คือช่วงไปคาวากูจิโกะนั้นอากาศค่อนข้างดีท้องฟ้าสดใสก็เลยพอจะมีอะไรมาเล่าสู่กันฟังเป็นประสบการณ์ให้เพื่อนๆอ่านเล่น มีทั้งสิ่งที่ประทับใจและปัญหาที่คาดไม่ถึงมากมาย พลาดเงิบไปก็หลายสิ่ง เอามาประจานให้คนอ่านจะได้ไม่พลาดเหมือนเรา 555 สำหรับบทความนี้ช่วงแรกๆ จะเป็น tips เล็กๆน้อยๆสำหรับการเตรียมตัวไปเที่ยว แล้วช่วงท้ายๆก็จะเป็นภาพบรรยากาศใบไม้แดงนะครับ เผื่อว่าใครจะดูรูปอย่างเดียวก็ข้ามไปช่วงท้ายๆได้เลย และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับนักเดินทางที่สละเวลาเข้ามาอ่านกันครับ
เนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างยาว ผมจึงทำหัวข้อไว้ประมาณนี้นะครับ เผื่อสนใจอันไหนจะได้ข้ามไปตรงนั้นได้เลยตามสะดวก
ถ้าจะให้เอ่ยชื่อสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของญี่ปุ่น เชื่อว่าน่าจะมีชื่อ “คาวากูจิโกะ” ติดอยู่ในอันดับต้นๆแน่นอน ความโดดเด่นของที่นี่ก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากหนึ่งในสิ่งที่เห็นแล้วต้องรู้ว่าที่นี่ญี่ปุ่น นั่นคือภูเขาไฟฟูจิ ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบคาวากูจิโกะที่ทอดตัวอยู่ด้านเหนือของภูเขาไฟฟูจิ จึงทำให้สถานที่แห่งนี้มีความโดดเด่นอย่างมากในการชมความงามของตัวภูเขาไฟฟูจิ ใครที่เคยเห็นแต่ในรูป ถ้าลองได้มาเห็นของจริงครั้งแรกรับรองต้องร้องว้าว เพราะภาพฟูจิที่ตั้งตระหง่านให้เห็นตรงหน้า มันเต็มตาอลังการยิ่งกว่าดูหนังในโรง iMAX เสียอีก
คาวากูจิโกะเป็นชื่อของทะเลสาบ ที่อยู่ในเมือง ฟูจิคาวากูจิโกะ เป็นเมืองอยู่ในเขตจังหวัดยามานาชิ ซึ่งเป็น 1 ใน ทะเลสาบทั้ง 5 ที่ล้อมรอบภูเขาไฟฟูจิ http://www.japan-guide.com/e/e6900.html อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวงอย่างโตเกียว สามารถเดินทางโดยรถไฟหรือรถบัสก็ได้ โดยส่วนตัวผมมักจะเลือกเดินทางด้วยรถบัส เพราะง่ายดีและก็เร็วด้วยครับใช้เวลาเดินทางประมาณ เกือบๆ 2 ชั่วโมง กับค่าโดยสารเที่ยวละ 1,750 เยน(ราคาปี58) โดยคุณสามารถซื้อตั๋วและขึ้นรถบัสได้ที่สถานีชินจูกุ หรือ จองผ่านเว็บไซต์ http://highway-buses.jp/course/kawaguchiko.php
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเยือนคาวากูจิโกะช่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี อย่างในทริปนี้คือวันที่ 15-16 พย. ครับ ที่นี่จะใบไม้เปลี่ยนสีเร็วกว่าที่อื่นๆ ฉะนั้นแพลนมาดีๆ มาที่คาวากูจิโกะก่อนเลยแล้วไปหาที่อื่นชมใบไม้แดงต่อเนื่องตลอดทั้งทริปได้เลยครับ
เตรียมตัวออกเดินทาง
คาวากูชิโกะ(ขอเรียกสั้นๆ “คาวา” เนอะพิมพ์ยาวเมื่อย 555) สามารถเดินทางไปได้ด้วยวิธีการหลักๆสองทาง คือ รถไฟ และ รถบัส ซึ่งก็เลือกได้ตามความเหมาะสมบางคนซื้อ pass เอาไว้ก็อาจจะเลือกรถไฟเนื่องจากจ่ายเงินเพิ่มแค่เล็กน้อย แต่ผมมักไม่ได้ซื้อ pass ส่วนใหญ่ก็เลยเลือกขึ้นรถบัสเพราะสะดวกและประหยัดว่าการขึ้นรถไฟแบบไม่ใช้ pass ซึ่งการขึ้นรถบัสคุณอาจเลือกได้ว่าจะขึ้นจากที่ไหนระหว่างชิบูย่ากับชินจูกุ ซึ่งบทความนี้จะเสนอการขึ้นรถที่ชินจูกุ
สถานีชินจูกุ อาจเป็นบททดสอบสุดโหดสำหรับการเดินทางหากคุณมาเยือนเป็นครั้งแรก เพราะที่สถานีแห่งนี้ มีทางเข้าออกรวมกันกว่า 200 จุด มีชานชาลาสำหรับขึ้นลงรถไฟ 36 แห่ง ในแต่ละวันจะมีผู้คนที่เดินทางไปมาผ่านสถานีแห่งนี้ถึงกว่า 3.6 ล้านคน ทำให้ที่นี่เป็นสถานีที่มีความคับคั่งและวุ่นวายมากเป็นอันดับ 1 ของโลก(บันทึกโดย กินเนสบุ๊ค) ผู้คนที่นี่เดินเร็วกว่าคนปกติมาก ราวกับว่าติดไอเท็มรองเท้าวิเศษมา ฉะนั้นจงเดินๆๆ และเดินอย่าหยุด ถ้าหยุดจะถูกชน ถ้าต้องพักจริงๆจงมองหาที่หลบกระแส เช่นตามหลังเสา 5555
ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็เป็นจุดที่คุณต้องทำการจองตั๋ว, ซื้อตั๋ว และแน่นอนที่สุดคือขึ้นรถ ฉะนั้นถึงคุณจะเกลียดกลัวขยะแขยงมันแค่ไหน(คงไม่ขนาดนั้น)คุณก็ต้องมารู้จักมันอยู่ดี ผมมีข้อแนะนำสำหรับมือใหม่ว่า หากคุณเพิ่งเคยมาที่สถานีแห่งนี้เป็นครั้งแรก มันก็น่าจะเป็นความคิดที่ดีหากคุณจะมาเริ่มทำความคุ้นเคยกับสถานีชินจูกุแห่งนี้ด้วยการจองตั๋วรถด้วยตัวเองที่นี่(แทนการจองออนไลน์) แล้วก็อย่าลืมแวะชิมของอร่อยที่มีอยู่มากมายบริเวณรอบๆสถานีนี้(ซึ่งผมจะมีแนะนำเร็วๆนี้ครับ) คุณจะได้ถือโอกาสสำรวจดูว่าคุณต้องขึ้นรถที่ไหน มีตู้ฝากกระเป๋าที่ไหนบ้าง ซึ่งจะช่วยคุณวางแผนการเดินทางได้ดีขึ้นในครั้งต่อๆไปครับ
สำหรับการซื้อตั๋ว สามารถซื้อเมื่อต้องการจะขึ้นรถที่บริเวณท่ารถก็ได้ หรือจะจองล่วงหน้าก็ได้ครับ เนื่องจากผมเดินทางไปในช่วงไฮซีซัน ไม่อยากเจอปัญหารถเต็ม ผมจึงไปจองตั๋วที่สถานีชินจูกุตั้งแต่วันแรกที่ไปถึงโตเกียวเผื่อจะเดินทางในวันมะรืน โดยการจองนั้นก็มีจุดที่จองได้หลายที่ แต่ส่วนตัวผมมักจะไปที่ Odakyu Sightseeing Service Center เพราะหาเจอง่าย อยู่บริเวณประตูใหญ่ของฝั่ง West Gate จากริมถนนเดินเข้าประตู West Gate ตามพิกัดใน Google Map ข้างล่าง แล้วมองไปแถวๆ 1-2 นาฬิกา จะเห็น Odakyu Sightseeing Service Center อยู่ข้างหลังบันไดทางขึ้น บนร้านมีป้ายสีน้ำเงิน (ดูรูปข้างล่าง) บางวันมี staff คนไทยด้วยลองดูป้ายที่แขวนไว้ข้างบน การจองตั๋วก็ไม่ยากเดินไปบอกพนักงานได้เลยครับว่า จะเดินทางจากไหนไปไหน วันที่เท่าไหร่ เวลาใด จะไปกันกี่คน ไปกลับหรือไปเที่ยวเดียว แล้วก็จ่ายเงิน ก็จะได้ใบเสร็จมา เอาไปโชว์ตอนขึ้นรถ ผมเคยซื้อตั๋วไปเที่ยวเดียวไม่กลับโตเกียว เค้าถามผมซะละเอียดเลยว่าแล้วเดินทางยังไงต่อ ผมก็เลยบอกว่า อ๋อผมจะนั่งรถบัสกลางคืนจาก คาวาไปโอซาก้าไม่กลับมาโตเกียวแล้ว เค้าก็โอเคเข้าใจตามนั้น
ส่วนถ้าใครจะไปซื้อตั๋วข้างหน้าก่อนขึ้นรถ ระวังซักนิดเพราะช่วงไฮซีซันเห็นคนไปซื้อตั๋วข้างหน้ากันมากพอสมควร อาจจะต้องรอรถประมาณ 2-3 รอบ หรือประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นไปครับโดยที่ทุกๆ 30 นาทีรถจะออก 1 คัน ในส่วนของข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทาง,รอบรถและราคาลองดูตรงนี้นะครับ http://highway-buses.jp/fuji/ มีภาษาไทยด้วย สำคัญมากเรื่องจุดขึ้นรถ ตั้งแต่วันที่ 4 เมษา 2559 ที่ผ่านมา จุดขึ้นรถบัสย้ายไปที่อาคารใหม่ที่อยู่ทางใต้ของสถานีรถไฟชินจูกุครับใช้ชื่อเดิม Tokyo Shinjuku Express Bus Terminal ซึ่งจะอยู่ทางทิศใต้ครับ (ที่เดิมอยู่ทางตะวันตก) คนญี่ปุ่นจะเรียกสถานที่นี้ว่า バスタ新宿 (Basuta Shinjuku) หรือหากต้องการถามทางให้ถามว่า “สุมิมาเซน …. บะสุตะ ชินจูกุ ว่ะ โดะจิระเดสก๊ะ” แปลว่า “ขอโทษนะคะ/ครับ …. ท่ารถบัสชินจูกุ อยู่ทางไหนคะ/ครับ” เราอาจจะฟังคำตอบไม่รู้เรื่องแต่อย่างน้อยที่สุด คนญี่ปุ่นน่าจะชี้บอกทิศทางการเดินที่ถูกต้องให้เราได้หรือถ้าบางคนเค้ามีเวลาเค้าอาจจะพาเราเดินไปส่งเลย(เป็นน้ำใจที่พบบ่อยมากๆในประเทศญี่ปุ่น) ฉะนั้นตอนนี้เวลาไปถึงสถานีชินจูกุอย่างแรกให้มองหา South Gate ก่อนเลยครับ ซึ่งถ้าออกถูกทาง คุณจะมายืนอยู่ตรงนี้ตามแผนที่ google ด้านล่างลองหมุนแผนที่ดูรอบๆได้ครับ หันเข้าหาตึกนี้เดินไปด้านซ้ายมือของคุณ แล้วขึ้นไปที่ชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดคุณจะพบ เค้าเตอร์ขายตั๋ว และท่าเทียบรถบัส
ศูนย์ฝากกระเป๋าและข้อดีบางอย่างที่ตู้ฝากไม่มี
บ่อยครั้งที่คุณต้องฝากกระเป๋าเมื่ออยู่ในญี่ปุ่นคุณมักจะนึกถึงพวกตู้หยอดเหรียญ ที่สถานีใหญ่ๆบางครั้งก็หาช่องสำหรับกระเป๋าใบใหญ่ยากเหลือเกินเพราะมันเต็มเกือบหมด แต่ที่จริงเรามีทางเลือกอื่นครับเช่น ศูนย์รับฝากกระเป๋าที่ไม่ใช่ตู้ บางครั้งถูกกว่าตู้ด้วยซ้ำแถมมีข้อดีกว่าหลายอย่าง เช่นที่ตึกนี้จะมีศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวโตเกียวอยู่ที่ชั้น 3 ใกล้จุดขึ้นลงแท๊กซี่ ภายในศูนย์มีบริการรับฝากกระเป๋าชื่อ SAGAWA Cloak & Delivery ซึ่งผมมักจะมาฝากที่นี่เสมอครับ ค่าฝากเค้าก็ไม่แพงแต่ราคาจะคิดเป็นต่อ 1 ใบนะครับกรณีมีถุงพะรุงพะรังผูกติดกระเป๋าต้องยัดใส่กระเป๋าทั้งหมด กระเป๋าที่จะฝากได้คร่าวๆมีดังนี้ คือ ขนาดกระเป๋า กว้าง+ยาว+สูง รวมกันไม่เกิน 200cm น้ำหนักต่อใบไม่เกิน 30โล รับฝากไม่อั้น หมดปัญหาตู้ไม่พอฝาก (เคยต้องฝากกระเป๋าสองใบไกลกันเป็นหลายร้อยเมตร เพราะตู้เต็มหมดไม่พอฝากมั๊ยครับ) แถมที่นี่คุณจะเข้ามาเปิดกระเป๋ากี่ครั้งก็ได้บ่อยแค่ไหนก็ได้ เจ๋งป่ะล่ะ
ความดีงามของรถบัส
ผมเคยสอบถามหลายๆคนที่ไปคาวาด้วยรถไฟ ว่าทำไมถึงไม่ลองรถบัสดูบ้างล่ะ คำตอบที่ได้ก็คือ เคยไปอันไหนแล้วไปถึง กูก็ไปอันนั้นแหล่ะ 555 ที่จริงมันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนะมันแค่มีเรื่องของการจอง ซึ่งรถไฟมันดีตรงที่อยากไปตอนไหนก็ไปได้เลยไม่ถงไม่ถามปัญหาสุขภาพซักคำ แต่รู้มั๊ยครับว่า บนรถบัสเนี่ยมันมีปลั๊กไฟให้ชาร์จด้วยนะ ใครที่ชอบมีปัญหาแบตหมดระหว่างวันนี่น่าจะถูกใจ เพราะปลั๊กของเค้าก็เป็นไฟ 110v คุณจะเสียบ fastcharge ก็ยังได้แถมเวลาที่นั่งอยู่บนรถก็ราวๆ 1 ชั่วโมง 45 นาทีแน่ะ ชาร์จอะไรได้เยอะพอสมควร และรถบัสนี่ขับรวดเดียวถึงเลยครับ ที่นั่งก็นิ่มนั่งสบายกว่ารถไฟเยอะ มีจอดแวะส่งผู้โดยสารปลายๆเส้นทางเล็กน้อย สามารถหลับได้เลยไม่ต้องกังวลเรื่องต่อรถ ที่สำคัญคนขับรถบัสโดยสารทุกชนิดที่ญี่ปุ่นนั้นขับรถดีมากๆครับ มีวินัย ใจเย็น รอบคอบ สุภาพ ขยัน และบริการดีมากๆ เวลาขึ้นรถก็พยายามมาถึงก่อนเวลา พวกรถสายท่องเที่ยวนี่ ผมเห็นมีคนเอาของกินขึ้นมากินบนรถเหมือนกันนะครับ แต่ถ้าหิวจริงๆละก็พยายาม หาของที่กลิ่นไม่รุนแรงก็แล้วกันครับจะได้ไม่รบกวนคนอื่นเนอะ ส่วนเวลาถึงที่หมาย รถอาจจะจอดที่ Fuji Q highland ก่อน ดูให้มั่นใจว่าเป็นสถานีรถไฟ คาวากูจิโกะ ค่อยลงนะครับ ดูจาก GPS ด้านล่างก็ได้ครับ สถานีจะอยู่ตรงนี้หน้าตาแบบนี้
แล้วใน คาวา สัญจรยังไง
ปกติเราจะใช้ RetroBus ซึ่งเราสามารถซื้อเฉพาะตั๋วรถ หรือจะซื้อเป็น R coupon ที่สถานีรถไฟคาวากูจิโกะได้เลย จุดจำหน่ายอยู่ปากทางที่จะออกไปขึ้นรถไฟ โดยใน R coupon จะมีตั๋วรถบัสแบบฟรีพาส(บัตรเบ่งโชว์ตั๋วผ่านตลอด)ใช้ได้ 2 วัน มีตัวขึ้นเรือล่องทะเลสาบคาวาหนึ่งรอบ และก็มีตั๋วขึ้นลงกระเช้าไปยอดเขาเทนโจได้อีกรอบ(อยู่เยื้องๆกันที่ Bus stop no.11)ราคา 2360 เยน (ราคาปี58 เช็คราคาล่าสุดที่นี่) คุ้มสุดๆ บังเอิญครั้งก่อนๆที่ผมมาที่นี่เป็นช่วงนอกเทศกาลแถมผมยังนอนติดสถานีรถไฟอีกก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทางเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้สิที่ความ ship หายเริ่มบังเกิด เพราะโจทย์คืออยากออกมาถ่ายภาพตอนกลางคืนที่มี ทะเลสาบเป็นฉากหน้าของภูเขาฟูจิ จะได้ถ่ายรูปดาวสวยๆตอนกลางคืนไงเลยเลือกไปนอนฝั่งเหนือของทะเลสาบ แล้วดันไปตรงกับช่วงไฮซีซัน ไปถึงรถเมล์แน่นยังกะปลากระป๋องสามแม่ครัว ลำพังเฉพาะคนไม่เท่าไหร่ครับ แต่กระเป๋าเดินทางนี่สิจะไปยังไง ตอนขึ้นยังพอว่าตอนลงนี่เล่นเอา “บรรพบุรุษพ่อแม่”ลำบากเลย เพราะเวลามีผู้โดยสารคนใหม่ๆขึ้นมาคุณจะถูกเบียดเข้าไปด้านในโดยอัตโนมัติ และยิ่งคุณเข้าลึกเท่าไหร่ยิ่งออกลำบากเท่านั้น แต่ในความลำบากมีความฮาอยู่คือเวลาจะลงจากรถ ผมบอกคนข้างหน้าว่า “สุมิมะเซน”(ที่แปลว่า ขอโทษนะครับ) และ “excuse me” ปรากฏทุกคนนิ่ง แต่พอพูดเป็นภาษาไทยว่า “ขอทางหน่อยคร๊าบๆๆ” ทุกคนหลบหมดเพราะมีแต่คนไทยทั้งนั้นเล้ยยยแหม่ะ 5555 ฉะนั้นจงเตรียมพร้อมครับ หากคุณไปช่วงไฮซีซัน รถบัสในคาวาจะค่อนข้างแน่น การขนกระเป๋าระหว่าง โรงแรม กับ สถานี อาจจะต้องมีตัวช่วย เช่นโรงแรมที่มีรถรับส่ง, แท๊กซี่ และระหว่างการท่องเที่ยวในคาวา ก็ควรจัดเตรียมกระเป๋าสิ่งของให้คล่องตัว คุณจะเดินทางได้สะดวกไม่รบกวนผู้อื่นมากเกินไป แล้วจะมีความสุขกับการท่องเที่ยวคาวาครับ
http://www.kachikachiyama-ropeway.com/th/
R coupon คือ Setที่ 2 ตาม link บนครับ
http://bus-en.fujikyu.co.jp/heritage-tour/detail/id/1/
แผนที่ PDF และตารางเวลาเดินรถของ Bus stop ต่างๆในคาวากูจิโกะ
เช่าจักรยานดีมั๊ย
ก็สะดวกดีครับในคาวาปั่นจักรยานง่าย แต่ละสถานที่ไม่ไกลกันมาก ผมไม่ได้เลือกเช่าจักรยานปั่นครั้งนี้เลยเพราะมีเวลาน้อยและส่วนใหญ่ถูกคนเช่ากันหมดแล้ว แถมต้องคืนจักรยานก่อน 5 โมงเย็นอีกถ้าใครมีเวลาชอบปั่นก็น่าสนครับเพราะจะทำให้เข้าถึงมุมถ่ายภาพแปลกๆได้อีกเยอะเลย อากาศเย็นสบายปั่นไม่เหนื่อยแน่นอน ส่วนราคาค่าเช่า อันนี้ผมถ่ายมาเป็นเจ้านึงที่อยู่ริมถนนให้ดูเป็นไอเดีย ราคาที่อื่นอาจจะแตกต่างกันไปยังไงลองเช็คดูนะครับ
ขาแชะควรรู้
สำหรับผู้หลงใหลการถ่ายภาพ คาวานั้นมีสถานที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง แต่หากความตั้งใจของคุณคือการถ่ายภาพภูเขาไฟฟูจินั้นผมแนะนำว่าควรหามุมสวยๆเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วมาถ่ายตอนเช้าจนพอใจครับฉะนั้นใครจะมาแบบ one day trip ควรมาเช้าที่สุดที่จะสามารถมาได้ เพราะช่วงบ่ายๆไปพระอาทิตย์จะเริ่มคล้อยไปด้านหลังภูเขาไฟทำให้ย้อนแสงเกือบตลอดบ่าย ส่วนตัวผมแทบไม่ได้สนใจเข้าไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญเลย เพราะคาวาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนั้น ทุกอย่างดูสดชื่นเต็มไปด้วยสีสันหันไปทางไหนก็สวยไปหมด บวกกับอากาศที่เย็นสบายราวๆ 15-20 องศา คาวาในช่วงนี้จึงเป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์และเติมพลังให้เราได้อย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
นอกจากนี้สิ่งที่ผมอยากย้ำเลยสำหรับผู้ที่ชอบถ่ายภาพก็คือ คาวานั้นอากาศจะเปลี่ยนอย่างรวดเร็วมาก เช้าอย่าง บ่ายอย่าง บางครั้งคุณตื่นเช้ามาเห็นภูเขาไฟฟูจิชัดสวยบนท้องฟ้าสดใส คุณก็คิดว่าวันนี้โชคดีแล้ว แต่หลังผ่านไปเพียง 2-3 ชั่วโมงสิ่งที่คุณเห็นอาจจะหายไปในพริบตาด้วยเมฆหมอกที่ปกคลุมยอดเขาตลอดทั้งวันที่เหลือ เพราะฉะนั้นเห็นฟูจิชัดๆเมื่อไหร่ผมจะกระหน่ำถ่ายรัวๆจนหนำใจไว้ก่อนแล้วค่อยวางแผนต่อครับ
กระเช้าและเรือ
ทั้งสองจุดจะอยู่ที่ป้ายรถบัสเบอร์ 11 สำหรับคนที่ซื้อ R Coupon มาคุณจะมีคูปองขึ้นเรือและกระเช้าเขาเทนโจอย่างละ 1 รอบ เรือที่พาเราล่องทะเลสาบคาวาใช้เวลา 30 นาที ต่อ 1 รอบ ควรขึ้นตอนที่เห็นว่าฟูจิกำลังสวยเพราะเรือจะพาเราล่องไปกลางทะเลสาบคาวา ทำให้เราถ่ายภาพฟูจิได้หลายๆมุม ส่วนกระเช้านั้นก็เป็นการขึ้นไปยังจุดชมวิวซึ่งจะเห็นฟูจิได้ชัดเจนมากๆ ถ้าจะให้สวยก็ควรไปแต่เช้าที่คนยังน้อยถ้าไปช่วงไฮซีซัน ตอนสายๆก็จะต่อคิวยาวหน่อยครับ เคยต่อคิวยาวสุดคือใช้เวลา 1 ชั่วโมง ผมกะคร่าวๆนะครับ ถ้าคิวล้นออกมาที่ถนนนอกอาคาร น่าจะต้องใช้เวลาเกิน 30 นาที แถมบางครั้งขึ้นไปก็มีแต่คนแน่นเต็มไปหมดทุกพื้นที่ ลองวางแผนตัดสินใจกันดูนะครับ เพราะอย่างของผมเนี่ยพลาด คือตอนก่อนขึ้นมองเห็นฟูจิจากข้างล่างชัดแจ๋ว ต่อแถวนานกว่าจะได้ขึ้นไปข้างบน ฟูจิโดนเมฆบังซะงั้น ขึ้นมาฟรีเสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมงเลย ฮือ
Fuji Q Highland
ถ้าใครชอบเล่นเครื่องเล่นแนวๆรถไฟเหาะผมอยากให้เผื่อเวลาใน คาวาอีกซักวันนึงเพื่อไป Fuji Q Highland ครับ ผมว่าเป็นสวนสนุกที่ดีมากๆเลย เครื่องเล่นที่นี่ค่อนข้างดีครับ ถึงแม้ว่าตอนยืนดูข้างนอกจะดูน่ากลัว แต่พอไปเล่นจริงๆก็รู้สึกปลอดภัยมั่นใจมาก ในสวนสนุกจะมีพวกยอดมนุษย์ที่ชอบแปลงร่างแบบในหนังญี่ปุ่นแท้ๆมาเดินเล่นกับเรา เป็นตัวการตูนญี่ปุ่นแท้ๆไม่ใช่ตัวการตูนฝรั่ง ที่สำคัญฉากหลังของสวนสนุกที่เป็นภูเขาไฟฟูจิทำให้ผมคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นสวนสนุกที่มีทัศนีย์ภาพอลังการที่สุดแห่งนึงในโลกเลยล่ะ ที่นี่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบแม้แต่เด็กวัยรุ่นชาวญี่ปุ่นเองตอนที่ผมขึ้นรถบัสกลางคืนจากคาวาไปโอซาก้าเจอเด็กนักเรียนขึ้นรถจากสวนสนุกแห่งนี้ มุ่งหน้าไปโอซาก้าและเกียวโต แถมน้องๆยังใส่ชุดนักเรียนกันอยู่ แสดงว่าเมื่อคืนน้องๆคงจะนั่งรถมาที่นี่ เล่นสวนสนุกทั้งวันแล้วก็นั่งกลับคืนนี้เลย ไปเรียนต่อตอนเช้า โดยไม่ต้องผ่านการอาบน้ำ 55555
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมลองดูที่นี่ครับ
อาหารการกินในคาวา
เสน่ห์อย่างนึงของการออกมาเที่ยวนอกเมืองก็คือ คุณจะค้นพบเมนูอาหารท้องถิ่นซึ่งมักจะหากินได้ยากในเมือง อย่างเมนูประจำถิ่นคาวานี้ก็คือ บะหมี่โฮโต (Hoto noodle) ซึ่งมีเอกลักษณ์คือ เส้นบะหมี่ใหญ่เป็นพิเศษ คล้ายอุด้ง แต่เนื้อสัมผัสไม่เหมือนอุด้งเลยเพราะวิธีการทำคล้าย แป้งเกี๊ยวมากกว่า โดยทั่วไปจะใส่มาในน้ำซุปมิโซะและผักท้องถิ่นตามฤดูกาลหลายชนิด เช่น ฟักทอง และเห็ดท้องถิ่นต่างๆ แต่เฮียเป็นสัตว์กินเนื้อก็เลยสั่งแบบมีเนื้อสัตว์บ้าง แหะๆ มีเรื่องเล่ากันว่า บะหมี่โฮโตนั้นเป็นเมนูที่ท่านไดเมียว Takeda Shingen และซามูไรที่รับใช้ มักจะทานก่อนออกรบ
ถ้าใครสนใจอยากลอง บะหมี่โฮโตในภาพ ผมไปที่นี่มาครับ https://goo.gl/maps/kLw5VFNLZvR2 สำหรับการหาร้านอาหารอื่นทั่วไปในคาวา ในส่วนของอาหารกลางวันคงไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่ในส่วนของอาหารเย็นผมเห็นคนไทยส่วนใหญ่ กินข้าวเย็นหลัง 6โมง ซึ่งในคาวานั้นรถบัสหยุดวิ่ง ตั้งแต่ 18.00 อาจจะมีเกินเวลานิดหน่อยแล้วแต่สภาพการจราจร แต่เอาเป็นว่าถ้าใครนอนอยู่เลย Bus stop No.11 ขึ้นไปผมแนะนำให้จองห้องพักพร้อมอาหารเย็นกับทางโรงแรมน่าจะดีกว่าครับ หากินเองค่อนข้างลำบากมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืนอ่ะตัวเลือกน้อย ที่คาวาช่วงใบไม้แดงนี่มืดเร็วมากประมาณ 5 โมงเย็นฟ้าก็มืดแล้ว และร้านค้าต่างๆจะปิดแต่หัวค่ำเลย แต่ถ้าพักอยู่ใกล้สถานที่ๆเค้าจัดงานเทศกาลแถว Bus Stop No. 16-18 ก็ยังพอหาของกินได้ครับแต่อย่าชะล่าใจกินตอนดึกนะ เพราะทุ่มนึงเค้าก็เริ่มเก็บของกลับบ้านกันแล้วนะ ถ้าใครพักอยู่ใกล้ๆ Bus stop no. 10-11 แล้วไม่อยากไปหาร้านกินแพงๆ ผมแนะนำลองเดินลงใต้ จะมี food store https://goo.gl/maps/geMiaREuh972 อยู่ครับ ข้างในคล้ายๆพวก foodland, villa มีพวก sashimi แพคขาย(ตามรูปด้านล่าง) ในราคาไม่แพง ความสดใช้ได้ครับ ส่วนใหญ่ผมจะซื้อแล้วย้อนกลับมานั่งกินริมทะเลสาบ ตรงที่มีร้าน lawson น่ะ กินเสร็จก็ฝากทิ้งด้วยเลยเพราะญี่ปุ่นหาถังขยะยาก อันที่จริงอยากจะบอกว่าประสบการณ์ที่เด็ดสุด คือการซื้อบะหมี่ถ้วยใน Lawson มานั่งกินริมทะเลสาบคาวา นี่แหล่ะ ได้กินบะหมี่ถ้วยร้อนๆอร่อยๆของญี่ปุ่น ในอากาศเย็นๆวิวสวยๆ ลมเอื่อยๆ ที่สุดแห่งความฟิน กินเสร็จก็อย่าลืม เก็บขยะให้เรียบร้อยนะครับ ฮี่
นอนไหนในคาวา
ก็แล้วแต่งบเลยครับ ค่าที่นอนในคาวาปกติเริ่มต้นก็ราคาค่อนข้างสูงครับ ครั้งแรกผมไปนอนใกล้ๆสถานีรถไฟอยากจะบอกว่าเดินทางสะดวกมากแต่ก็แลกกับการที่ต้องมีวิวสถานีรถไฟแทนทะเลสาบ อย่างครั้งล่าสุดนี้ผมก็ไม่ได้นอนแพงมากครับประมาณคืนละ 3 พันกว่าบาท ถ้าเอาดีๆอย่างพวก Sunnide ก็คืนละหมื่นบาทขึ้น แต่ที่ผมไปนอนชื่อ Komaya Ryokan ก็จัดว่าวิวสวยใช้ได้เลยนะ เปิดหน้าต่างมาเห็นฟูจิเลยแต่ต้องจองเนิ่นๆแล้วระบุไปตอนจองนะครับ แต่ที่นี่จะมีข้อบังคับจุกจิกเยอะหน่อย เช่น ต้องระบุเวลาอาบน้ำ อาบได้ 1 ชั่วโมง ตอนเช้าไม่มีอาบน้ำ ต้องเข้าบ้านก่อน 3 ทุ่ม ส่วนที่นอนอะไรก็จัดว่าสะอาดดีครับแต่จะมีปัญหานิดหน่อยคือเรื่องเสียง ถ้าคนเยอะแล้วห้องข้างๆเสียงดังจะได้ยินค่อยข้างชัดเพราะบ้านไม้ผนังมันไม่ค่อยเก็บเสียง แล้วคาวาเป็นเมืองที่หลังทุ่มนึงไปไม่ค่อยมีอะไรทำครับคนส่วนใหญ่จะกลับมานั่งคุยกันในห้องพักถ้าคุณนอนดึกคุณก็อาจจะหงุดหงิดเล็กน้อย ส่วนเรื่องบริการคุณป้าเจ้าของแกก็ใจดีครับ แล้วก็พูดภาษาอังกิดได้นิดหน่อย แล้วก็ให้ความช่วยเหลือต่างๆดีมากเลยครับ แกมีเปิดร้านอาหารด้วยแต่ผมไม่ได้ลองอาหารของแกเลยแต่ดูจากรีวิวเห็นว่าอาหารแกน่าจะอร่อยครับ
อีกอย่างที่ผมตั้งใจไปนอนที่ Komaya Ryokan ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียวเลยครับ คือ อยากถ่ายภาพลักษณะนี้
ตอนจบของทริปคาวากูจิโกะปกติเราจะกลับโตเกียวกัน แต่ครั้งนี้ ผมเลือกเดินทางจาก คาวากูจิโกะมุ่งตรงสู่โอซาก้า ด้วยไนท์บัส เพื่อประหยัดค่าโรงแรมซึ่งผมจะได้เล่าให้ฟังอย่างละเอียดอีกครั้งใน “จาก Kawaguchiko ไป Osaka ด้วย Night Bus ทางเลือกสำหรับทริปประหยัด” ถ้าสนใจรายละเอียด เรื่องการจองต่างๆก็ฝากติดตามกันได้นะครับ ก่อนลาตอนนี้ก็ฝากภาพบรรยากาศใบไม้แดงในคาวากูจิโกะไว้ให้ดูกันเนอะ ฟ้าใสๆใบไม้สวยๆ อากาศเย็นสดชื่น สูดหายใจแล้วรู้สึกสะอาดสดชื่น นึกดูแล้วก็อยากกลับไปอีกรัวๆ แฮ่
Leave A Comment