เมืองยอดฮิตที่มักเป็นทริปแรกๆของคนที่อยากไปเที่ยวไปญี่ปุ่นก็คือ โตเกียวและโอซาก้า/เกียวโต(ซึ่งอยู่ติดกัน) ซึ่งสองเมืองนี้มีระยะทางบนถนนห่างกันประมาณ 500กม. คนส่วนใหญ่ที่ไปญี่ปุ่นครั้งแรก ก็มักจะอยากไปทั้งสองจังหวัดเลย และนี่คือโจทย์ที่ผมมักได้รับคำถามบ่อยๆว่า จะทำอย่างไรให้ประหยัด?
กฏข้อแรกของการไปญี่ปุ่นแบบประหยัดก็คือ อย่าซื้อ JR Railpass (แป่วววว)เพราะแค่ pass นี้ตัวเดียวก็เกือบหมื่นแล้ว ถ้าเราวางแผนการเที่ยวไว้รัดกุมดีแล้ว pass นี้ก็ไม่ค่อยจำเป็นผมไปญี่ปุ่นมาหลายครั้งเคยซื้อแค่ครั้งเดียวเพราะทริปบางแบบจำเป็นจริงๆ ฉะนั้นวันนี้ผมจึงมาเสนอการนั่งรถบัสกลางคืนครับ เพราะเมื่อเปรียบเทียบหลายๆวิธีแล้ว วิธีนี้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายได้จริงๆ นอกจากนี้ผมยังจะได้ฝากเทคนิคและข้อควรรู้ต่างๆในการใช้บริการ Night Bus ให้ทราบกันด้วย
หัวข้อที่จะเล่าก็มีประมาณนี้ครับ
- อธิบายสรุปแบบภาพรวม
- ยังไม่เจอวิธีจองบนเว็บเป็นภาษาอังกฤษ แต่โทรจองก็ไม่ยากอย่างที่คิด
- ปลั๊กชาร์จไฟบนรถเตรียมให้พร้อม
- ประหยัดค่าโทร Skype ช่วยได้
- ไปสำรวจสถานีรถไฟคาวากูจิโกะเพื่อรอขึ้นรถกันเถอะ แต่ระวังจะว่างจัดนะ
- ปรับนาฬิกาของคุณให้ตรงไม่งั้นหลงลงผิดป้าย
- รู้งี้น่าจะซื้อ Pass มาจากเมืองไทย
- สรุปข้อดีข้อเสีย ของการนั่ง บัสกลางคืน
- สรุปรายละเอียดให้อีกที ราคา และ ตารางเวลา
อธิบายสรุปแบบภาพรวม
การขึ้นรถจากคาวากูจิโกะไปลงที่ปลายทางเกียวโตหรือโอซาก้าจะขึ้นรถคันเดียวกัน (เกียวโตลงก่อน) ออกเดินทางจากสถานีรถไฟคาวากูจิโกะตอน 20:52 ไปถึงโอซาก้าประมาณ 7 โมงเช้า โดยเราสามารถโทรจองล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์ ระหว่างโทรจองเราจะได้ booking number มาซึ่งเค้าจะให้ใช้เบอร์โทรศัพท์ที่เราให้ไว้นั่นแหล่ะครับเป็นเบอร์ booking จากนั้นเมื่อถึงวันขึ้นรถเราก็ไปรอที่จุดจอดรถบัสหน้าสถานีรถไฟคาวากูจิโกะ พอรถมาถึงเราก็ไปแจ้งชื่อที่ทำการจองพร้อมชำระเงินสด(เท่านั้น)กับพี่คนขับได้เลยครับถ้าจำไม่ผิดแกมีเงินทอน พอออกรถแล้วก็จะแวะรับผู้โดยสารไปเรื่อยๆจนถึงเที่ยงคืนนั่นแหล่ะครับถึงจะเริ่มวิ่งยาวๆไปจอดที่เกียวโตตอนเช้ามืด แล้ววิ่งต่อจากนั้นอีก 1 ชั่วโมงจะเข้าสู้โอซาก้า ซึ่งจะมีที่จอดอีก 3 จุดครับ สำหรับคนที่จะนั่งรถจาก Osaka -> Kawaguchiko จุดจอดรถก็จะย้อนกลับทางจุดเดิมทั้งหมดครับ
ยังไม่เจอวิธีจองบนเว็บเป็นภาษาอังกฤษ แต่โทรจองก็ไม่ยากอย่างที่คิด (Update 10/02/2018 มีเว็บจองภาษาอังกฤษ/ไทยแล้ว)
ทุกวันนี้ผมยังคงมองหาวิธีการจองรถบัสเส้นทางนี้บนเว็บอยู่ตลอดแต่ก็ยังไม่เจอครับ เว็บที่มีจะเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด เอาไว้ถ้ามีเมื่อไหร่ผมจะมาอัพเดทให้อีกทีครับ แต่ระหว่างนี้เราคงต้องจองทางโทรศัพท์เท่านั้น ซึ่งผมเห็นหลายคนพอพูดถึงการโทรจองถึงกับเสียขวัญเลยทีเดียว เพราะกลัวคุยไม่รู้เรื่องกลัวแจ้งข้อมูลผิดพลาดแล้วจะเขาจะไม่ให้ขึ้นรถ จะบอกว่าไม่ต้องกลัวครับ ผมก็เป็นอาการนี้มาแล้ว เพราะภาษาอังกฤษผมเองก็ไมได้แข็งแรง แล้วถึงคุณจะเก่งภาษาอังกฤษแบบ native speaker แต่ถ้าคุณไปประเทศซึ่งผู้คนไม่นิยมใช้ภาษาอังกฤษไม่ว่าประเทศไหนก็ตามในโลก เก่งอังกฤษไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่เชื่อผมเถอะมันไม่ได้มีปัญหาขนาดนั้นครับ เพราะเวลาที่เราโทรจองจะมี จนท.มาพูดภาษาอังกฤษกับเรา(ผมเจอเป็นผู้หญิงเสียงป้าๆ) ซึ่งเค้าจะถามเราเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้นจริงๆ ผมยกตัวอย่างนะครับ
- ชื่อผู้จอง เอาแค่ชื่อตามพาสฟอร์ตของใครก็ได้ในเพื่อนร่วมทริปที่สั้นและสะกดได้ง่ายที่สุด 1 คนพอ นามสกุลไม่ต้อง (สะกดผิดนิดหน่อยก็ยังได้ไม่ซีเรียส)
- เบอร์โทรติดต่อ ซึ่งจะใช้เป็น booking number ด้วย
- เดินทางจากไหนไปไหน อันนี้คุณป้าเค้าจะย้ำเราให้ชัดหลายๆรอบ จะได้ไม่หลงทิศเช่น “from kawaguchiko station to osaka“ แค่นี้พอครับ โอซาก้ามี 3 ป้ายก็จริงแต่ราคาเท่ากัน ฉะนั้นเค้าไม่สนใจว่าคุณจะลงป้ายไหน จึงไม่ต้องบอกให้งงกันเปล่าๆ
- เดินทาง one way หรือ round trip
- เดินทางวันที่เท่าไหร่ (กลับวันที่เท่าไหร่ กรณี round trip)
- ประเภทของรถที่เราจะขึ้น มีสองแบบ อันแรกเป็นแบบรถทัวร์บ้านเราคือ นั่งเป็นคู่มีสองฝั่งแถวละ4คน กับแบบที่สองคือนั่งเดี่ยวๆเลยจะมี ซ้าย ขวา กลาง แถวละ 3 คน ราคาแพงกว่าหน่อยเพราะไฮโซกว่ามีผ้าม่านปิดเพื่อความเป็นส่วนตัว มีเครื่องฟอกอากาศเผื่อมีใครตดบนรถให้เราดมจะได้ทรมาณไม่นานนัก(ไม่ใช่ละ)ทั้งสองแบบมีผ้าห่มให้ครับ
- เดินทางกี่คน ชายกี่คนหญิงกี่คน ปกติที่ญี่ปุ่นเค้าจะแยกที่นั่งชายหญิงไม่ให้นั่งข้างกันครับ โดยเฉพาะกรณีคุณเลือกเดินทางด้วยรถแบบ 4 ที่นั่งต่อแถว ถ้าคุณไปเป็นคู่แฟนกันก็สามารถแจ้ง จนท. ได้ครับว่า “can sit together” คุณป้า จนท.ก็จะทราบเองครับว่าคุณอยากนั่งด้วยกัน
อาจจะมีถามอย่างอื่นเพิ่มแล้วแต่กรณี แต่คร่าวๆประมาณนี้เลยครับ หลังจากนั้น คุณป้า จนท.จะย้ำข้อมูลของเราอีกครั้งชัดๆ ตรงนี้ฟังดีๆครับ ว่าข้อมูลของเรานั้นถูกต้องหรือไม่ แล้วคุณป้าจะแจ้งให้เราทราบว่า รถนั้นออกกี่โมง รถหมายเลขอะไร แล้วรถจะจอดที่ป้ายหมายเลขเท่าไหร่ เราได้นั่งที่นั่งเบอร์อะไร ตรงนี้พยายามฟังให้ทันถ้าฟังไม่ทันก็ไม่เป็นไรครับ เพราะปกติรถบัสออกเวลาเดิมทุกวันไม่เคยเปลี่ยนเวลา สามารถดูเวลารถออกได้บนหน้าเว็บซึ่งเป็นเวลาท้องถิ่นที่ญี่ปุ่นนะ ฉะนั้นอย่าลืมปรับนาฬิกาล่ะ สำหรับเบอร์ที่จะโทรไปจองคือเบอร์นี้ครับ
Fujikyu call center TEL: (+81)0555-73-8181
http://bus-en.fujikyu.co.jp/highway/detail/id/9/
รถจะมาจอดที่ป้ายหมายเลขเท่าไหร่ สามารถไปดูที่สถานีได้ครับ เค้าจะมีจอมอนิเตอร์บอก ทั้งรอบรถออก ปลายทาง รถจอดที่ป้ายเบอร์อะไร จำไว้ว่าเวลาที่บอกนั้นคือเวลารถออกนะครับ แต่รถจะมาจอดรอจริงๆก่อนเวลารถออกเพียงแค่ 5-10 นาทีเท่านั้นเองครับ ฉะนั้นก่อนถึงเวลารถออกประมาณ 10 นาทีก็ไปยืนบิดขี้เกียจรอที่ป้ายได้เลย ถ้ามีรถมาก็ไปถามคุณคนขับรถได้เลยครับ มีเรื่องฮาคือตอนที่ผมไปแจ้งข้อมูลการจองกับพี่คนขับ ข้อมูลที่ผมให้ไว้ตอนโทรจองก็ผิดเกือบหมดครับ ชื่อสะกดผิด เบอร์โทรก็ผิดแต่ก็ขึ้นรถได้ครับ ฮ่าๆๆ เพราะเค้าแทบไม่ได้ตรวจหลักฐานอะไรเลย ผมคิดว่าการตรวจรายละเอียดจะเกิดขึ้นกรณีที่มีปัญหา เช่นมีผู้โดยสารคนอื่นมาขึ้นรถผิดคันแล้วดันนั่งที่เดียวกับคุณหรือที่นั่งไม่พออะไรแบบนั้นมากกว่า
*** Update วิธีจองทางเว็บ ***
ก่อนอื่นควรจะลงทะเบียนในเว็บของ Willerexpress เสียก่อนครับ ที่นี่ https://willerexpress.com/dy/3/common/pc/kainRegister/index
หลังจากได้ User password มาแล้วให้ login แล้วไปจองรถที่นี่ครับ http://willerexpress.com/st/3/en/pc/bus/route/yamanashi/osaka/
แล้วก็คลิก one way หรือ round trip ในกรอบสีเขียวครับ
จากนั้นจะมี วันที่ต้องการให้เลือก ในแต่ละวันจะมี จำนวนที่นั่งที่เหลือกับราคาเริ่มต้น(ราคาเด็ก)ให้ดูด้วยครับ
พอกดเลือกวันที่ต้องการแล้ว จะเจอหน้าเลือกประเภทของรถ ประเภทของรถที่เราจะขึ้น มีสองแบบ อันแรกเป็นแบบรถทัวร์บ้านเราคือ นั่งเป็นคู่มีสองฝั่งแถวละ4คน กับแบบที่สองคือนั่งเดี่ยวๆเลยจะมี ซ้าย ขวา กลาง แถวละ 3 คน ราคาแพงกว่าหน่อยเพราะไฮโซกว่ามีผ้าม่านปิดเพื่อความเป็นส่วนตัว มีเครื่องฟอกอากาศเผื่อมีใครตดบนรถให้เราดมจะได้ทรมาณไม่นานนัก(ไม่ใช่ละ)ทั้งสองแบบมีผ้าห่มให้ครับ
จากนั้น จะให้เลือก สถานีต้นทางที่จะขึ้น, ปลายทางที่จะลง และจำนวนผู้โดยสารที่ต้องการ
สรุปอีกที เลือกแพลน
ตรวจสอบรายละเอียดให้ดีๆอีกครั้ง จะเห็นว่าในหน้าเว็บสรุปรายละเอียดว่าบางครั้ง มันจะขึ้นว่าโหลดกระเป๋าไม่ได้ ผมก็จะปิดไปก่อนแล้วค่อยมาจองใหม่ทีหลังจนกว่าจะได้ หรือไม่ต้องส่งกระเป๋าแยกไปด้วยบริการแมวดำครับ หลังจากนั้นเลื่อนลงมาด้านล่างสุด กดปุ่ม Add to shopping cart
จากนั้นกด Reserve
จะเจอหน้า Login เพื่อทำการจ่ายเงินจอง
ระบุตัวผู้ติดต่อหลัก
จากนั้นก็จะเจอแบบฟอร์มให้กรอก รายละเอียดบัตรเครดิต ก็ทำรายการไปจนจบจะได้ อีเมล ยืนยันการจองกลับมาก็เป็นอันเรียบร้อยครับ
ปลั๊กชาร์จไฟบนรถเตรียมให้พร้อม
มีเรื่องเงิบๆจะเล่านิดนึงเพราะเนื่องจากสมัยก่อนข้อมูลมันมีน้อย ตอนแรกผมคิดว่ารถแบบ 4 ที่นั่งต่อแถวมีที่ชาร์จเพราะผมเห็นรถบัสที่วิ่งจากชินจูกุไปคาวากูจิโกะมันมีปลั๊กไงผมก็คิดว่าโอ้วรถทั่วประเทศเค้าคงมีหมด ปรากฏพอขึ้นรถไปถึงกับเงิบ เพราะมันไม่มีครับ ชาวญี่ปุ่นทุกคนบนรถนั่งปิดโทรศัพท์นอนอย่างสงบกันเลยทีเดียว 555 ทำให้วันรุ่งขึ้นที่ไปถึงโอซาก้าต้องประหยัดแบตสุดชีวิตใช้ประหยัดยิ่งกว่าเงินซะอีก เพราะผมใช้แบตทั้งวันตั้งแต่ตอนอยู่คาวากูจิโกะ แล้วพอมาถึงโอซาก้าก็ต้องเที่ยวต่อเลย พูดง่ายๆเหมือนเที่ยวสองวันโดยไม่ได้ชาร์จแบต แต่มีข่าวดีจากข้อมูลล่าสุดในเว็บ บอกว่ารถแบบแถวละ 4 ที่นั่งมีปลั๊กแล้วนะครับ เชิญทดลองเสี่ยงกันดูได้ 555 ส่วนเรื่องปลั๊กไฟที่ผมแนะนำให้เตรียมไปให้พร้อมก็คือรูเสียบปลั๊กจะมีให้แค่ที่นั่งละ 1 รูเท่านั้น ถ้าใครมีอุปกรณ์เยอะๆกรุณาเตรียมปลั๊ก พ่วง ปลั๊กสามตาไปให้พร้อม แต่ส่วนตัวผมจะใช้แบบนี้ครับ เพราะปลั๊กพ่วงเลยมันดูพะรุงพะรังแล้วก็น่ากลัวจะโดนไฟดูดตอนนอนเอานะ 555
ประหยัดค่าโทร Skype ช่วยได้
ท่านไหนที่มีสมัครใช้บริการ Office365 แบบลิขสิทธิ์ ท่านจะมีสิทธิใช้ skype ในการโทรศัพท์หา Landline ได้นะครับซึ่งผมก็ใช้สิทธิอันนี้แหล่ะครับ skype โทรจองรถในญี่ปุ่นสบายเลยครับเสียงชัดไม่ดีเลย์คุยนานได้ถึงเดือนละ 60 นาทีเลยทีเดียว แถมระหว่างเดินทางผมยังใช้โทรกลับมาคุยกับคนที่บ้านได้อีกต่างหากนะ บอกกันไว้เผื่อใครใช้ Office365 อยู่ ก็ไปกดขอสิทธิโทรฟรีได้ครับ โดย login ไปที่ office.com ที่ท่านใช้อยู่ เข้าไปที่หน้า my account แล้วกด activate ตามรูปด้านล่างเลยครับ หลังจากนั้นจะมีหน้าให้ activate อีกครั้ง และตามด้วย login เข้า skype เป็นอันใช้ได้ สามารถลงแอพเพื่อใช้โทรในมือถือได้เลยครับ
ไปสำรวจสถานีรถไฟคาวากูจิโกะเพื่อรอขึ้นรถกันเถอะ แต่ระวังจะว่างจัดนะ
เนื่องจากรถบัสจะออก ตอน 20:52 และช่วงค่ำที่คาวาจะเงียบไม่มีอะไรให้ทำมากนัก คุณอาจจะได้นั่งรอที่สถานีตั้งแต่หัวค่ำประมาณหกโมงหรือทุ่มนึงเลย ฉะนั้นคุณสามารถเตรียมหนังสือไปอ่านรอได้ ในสถานีคาวากูจิโกะ จะมีที่นั่งบางจุดที่มีปลั๊กไฟอยู่ ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรเสียบชาร์จไฟหรือไม่ แต่ก็เห็นมีคนญี่ปุ่นชาร์จกันครับ ภายในสถานีมีอาหารขายอยู่นะครับ รสชาติก็กลางๆพอไปไหวแล้วก็มีพวก ขนมของฝากเยอะแยะเลย ซึ่งของฝากบางอย่างจะไม่มีขายที่อื่นนะครับ เค้าจะติดป้ายบอกว่ามีขายที่นี่เท่านั้น
ในส่วนของ Locker ฝากกระเป๋าถ้าดูตามรูปด้านล่างจะอยู่ด้านขวาสุดของรูป มีทั้งด้านนอกและด้านในสถานี มีทุกขนาดตั้งแต่เล็ก กลางถึงใหญ่ แต่ใหญ่มีแค่ 3 ตู้เท่านั้นครับ
ปรับนาฬิกาของคุณให้ตรงไม่งั้นหลงลงผิดป้าย
ตอนที่จะลงจากรถ กรณีที่คุณจะลงเกียวโตผมแนะนำให้ ตั้งนาฬิกาปลุกแบบสั่นเอาครับเพราะ ระหว่างที่เขาขับรถไปเขาจะแวะจอดติดเครื่องแบบไม่มีเหตุผลเป็นระยะๆเค้าไม่ได้จอดให้เราแวะซื้อขนมโมจินะครับ ผมเข้าใจว่าเป็นการจอดรอเวลาเพื่อให้ขับไปถึงจุดหมายตรงตามเวลาที่บอกไว้ครับ ทำไมต้องทำแบบนั้น? เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ผู้โดยสารทุกชาติทุกภาษาจะเข้าใจตรงกัน แม้จะฟังคนขับรถจะพูดบอกปลายทางเป็นภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องก็ตาม เนื่องจากเค้ามีบอกในตารางเดินรถอยู่แล้ว ตอนที่ผมไปมีพี่คนนึงเป็นคนไทยแกนั่งรถเลยป้ายที่ต้องการจะลงแกกะจะลงเกียวโต แต่ตอนรถจอดเกียวโตแกไม่ได้ลง เพราะแกไม่แน่ใจ สุดท้ายแกเดินมาถามผม ผมก็เลยแนะนำให้แกลงป้ายสถานีโอซาก้าแล้วนั่งรถไฟกลับเอา ส่วนที่โอซาก้ามี 3 จุดที่รถจะจอดดังนี้ครับ
- [6:53AM] Osaka station(แผนที่)ซึ่งจะเป็นสถานีรถไฟใหญ่ที่สามารถต่อรถไปจังหวัดอื่นรอบๆได้ครับเช่น โกเบ เกียวโต
- [7:13AM] Kintetsu Namba West Gate (OCAT Building แผนที่) บริเวณด้านตะวันตกของสถานีนัมบะ และต่อรถไฟไปสนามบินคันไซได้ครับ
- [7:34AM] Osaka-Abenobashi Station(แผนที่) บริเวณเดียวกับ สถานี Tennoji ซึ่งจุดนี้จะมีสิ่งที่น่าสนใจคือ Abeno Harukas ซึ่งถือเป็นอาคารที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นขณะนี้เลยทีเดียวครับ มีจุดชมวิวเมืองโอซาก้าแบบ 360 องศา ชื่อ Harukas 300 observation deck ที่ชั้น 58-60 ราคาค่าเข้าชม 1500 เยน
รู้งี้น่าจะซื้อ Pass มาจากเมืองไทย
รถบัสจะมาถึงโอซาก้าตอน 7 โมงเช้าเลย แล้วผมต้องซื้อตั๋ว pass ที่ใช้ในแถบคันไซ ซึ่งมันสามารถซื้อได้ที่ OSAKA VISITORS’ INFORMATION CENTER NAMBA แต่ปัญหาคือ มันเปิด 9 โมงเช้าแปลว่าผมต้องหาอะไรกินในสถานีรถไฟเพื่อรอเวลาไปก่อน ฉะนั้นตรงนี้ถ้าใครที่จะมาแบบผมแล้วต้องใช้ pass แนะนำให้ซื้อตั๋ว pass ที่ต้องการมาจากเมืองไทยเลยก็ได้ครับมี เอเจนซี่หลายๆเจ้าขายอยู่
และสำหรับใครที่จะบินกลับจากโอซาก้า ผมแนะนำให้เดินหาตู้ฝากกระเป๋าบริเวณสถานีรถไฟนัมบะไว้ก่อนเผื่อวันสุดท้ายต้องใช้ เพราะตู้ที่ใส่กระเป๋าใหญ่ได้มีน้อยมากครับ แล้วมันมักจะเต็มตั้งแต่เช้าเลย ถ้าใครต้องใช้ก็มองหาไว้ให้ดีๆครับแล้วก็รีบมาฝากตอนเช้าๆ สถานีนัมบะนี่นั่งรถไฟต้นทางรวดเดียวถึงปลายทางสนามบินคันไซได้เลยครับ
สรุปข้อดีข้อเสีย ของการนั่ง บัสกลางคืน
ข้อดี
- ประหยัดค่าโรงแรม ประมาณ 5,000-15,000 เยน เพราะนอนบนรถเลย
- ค่าเดินทางถูกกว่า รถบัส 8,700 เยน VS รถไฟออกจากสถานีคาวาไปถึงโอซาก้า 16,xxx เยน
- ไม่ต้องต่อรถเลย หลับยาว
- บนรถก็มีปลั๊กไฟให้
- ไปถึงปลายทางตอนเช้าเที่ยวต่อได้ทันที ประหยัดเวลามาก
- โหลดกระเป๋าใต้ท้องรถ ได้ทุกขนาด
ข้อเสีย
- ไม่ได้อาบน้ำ ถ้าหน้าหนาวคงไม่ค่อยเป็นไร แค่คันหัวนิดหน่อย แต่ถ้าหน้าร้อนไม่แนะนำครับ 555
- นอนไม่สบาย บางคนนอนบนรถไม่หลับ วันถัดมาจะเพลียง่วงมาก(แต่ส่วนใหญ่จะเที่ยวได้นะ ;-P)
- ไม่รู้เป็นข้อเสียมั๊ย แต่การมาถึงโอซาก้าเช้ามาก(7โมง) บางทีทำให้ชีวิตยาก เพราะออฟฟิศยังไม่เปิดก็เลยซื้อ pass ไม่ได้ เช็คอินโรงแรมยังไม่ได้(แต่ฝากกระเป๋าได้) สถานที่ท่องเที่ยวไม่ค่อยมีอะไรเปิดอยู่ดี
สรุปรายละเอียดให้อีกที ราคา และ ตารางเวลา
ดูจากตารางข้างล่างหลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะแล้วชั้นขึ้นจาก สถานีรถไฟคาวากูจิโกะ ในตารางมันไม่มีนี่นา คือแบบนี้ครับ ป้ายที่รถบัสจอดสามป้ายแรกได้แก่ Mt.Fuji Station, Kawaguchiko Station และ Fuji-Q Highland BT จะอยู่ในเขตจังหวัด Yamanashi ฉะนั้นถ้าดูจากตารางนี้ ให้ดูราคาช่องแถวบนสุด (Yamanashi region) ครับ เช่น
จาก คาวาไปโอซาก้า นั่งรถแบบ แถวละ 3 ที่นั่ง ไปคนเดียว ไปอย่างเดียวไม่กลับ ก็ 8,700 เยนครับ
รถบัสมีสองประเภทครับ คือแบบแถวละ 3 ที่นั่ง(ครึ่งซ้ายในตารางราคาข้างบน) กับแถวละ 4 ที่นั่ง (ครึ่งขวาในตารางราคาข้างบน) แบบ 3 ที่นั่งต่อแถวคือนั่งเดี่ยวไปเลยแม้จะมาเป็นคู่ แต่ถ้าแบบ 4 ที่นั่งต่อแถว ก็คือจะได้นั่งเป็นคู่แม้จะมาคนเดียว แต่คนที่มานั่งคู่กับเราจะเป็นคนเพศเดียวกับเราครับ ฉะนั้นสาวๆที่หวังจะไปซบไหล่หนุ่มญี่ปุ่นก็หมดสิทธินะครับแต่ถ้าสาวประเภทสองก็พอมีลุ้น(ตอนจองต้องทำเสียงแมนๆเต็มที่) ส่วนถ้าเป็นแฟนกันไปด้วยกันให้บอกตอนจองว่า we can sit together ครับ เค้าก็จะให้นั่งด้วยกัน
ตารางเวลาออกรถของแต่ละสถานี เป็นดังนี้ครับ
Up-line หรือขาขึ้น ออกรถมุ่งไปเกียวโต/โอซาก้า (Embarking คือจอดให้ผู้โดยสารขึ้น – Disembarking คือให้ผู้โดยสารลง)
Down-line หรือขาลง ออกรถมุ่งไป คาวากูจิโกะ/ภูเขาไฟฟูจิ
ทั้งหมดนี้ก็เป็น รายละเอียดที่ผมพอจะนึกออกนะครับเวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้วอาจจะมีลืมๆไปบ้างถ้าใครมีข้อมูลที่ถูกต้องกว่าก็แนะนำได้เลยนะครับผมยินดีแก้ไขให้ และถ้าผมได้ไปเจอข้อมูลตัวไหนมีประโยชน์จะเอามาใส่ให้เรื่อยๆครับ และถ้าใครมีคำถามก็อย่าลืมไปถามกันได้ที่ Facebook https://www.facebook.com/hearkrieng/ นะครับ